เนื้อหา

    1 min
    626

    คู่มือวิดีโอคอนเทนต์สำหรับแอฟฟิลิเอท

    แนวทางการทำวิดีโอคอนเทนต์ปี 2024

     

    มาเริ่มต้นกันที่ข่าวดีก่อน การตัดต่อวิดีโอในปี 2024 ทำได้ง่ายมาก เพราะว่ามีซอฟต์แวร์มากมายให้ใช้งานในราคาที่ถูกมาก (หรือไม่ก็แจกฟรี) ทำให้สามารถเรียนรู้สู่การเป็นมือโปรได้ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง

    ส่วนข่าวดีรองลงมาคือต้องเลือกซอฟต์แวร์ที่เหมาะสมกับตนเองจากตัวเลือกนับไม่ถ้วนและเรียนรู้วิธีการใช้งาน แต่ไม่ต้องห่วง ข้อมูลทั้งหมดอยู่ที่นี่แล้ว!

    ทำไมถึงต้องเลือกวิดีโอคอนเทนต์แทนโฆษณาแบบข้อความและโฆษณารูปแบบภาพนิ่ง

    ใครที่พยายามหลีกเลี่ยงวิดีโอคอนเทนต์เพราะไม่รู้วิธีตัดต่อ ลองดูสถิติเหล่านี้ที่จะทำให้คุณต้องเปลี่ยนใจ

     

    • เพิ่มอัตราการรักษาลูกค้า ผู้ชมจดจำการสื่อสารจากวิดีโอได้ 95% ส่วนการจดจำสิ่งที่อ่านอยู่ที่ 10
    • ผลกระทบของการจดจำ 80% ของผู้ชมสามารถจดจำวิดีโอที่ดูในเดือนที่ผ่านมา การสื่อสารผ่านข้อความจดจำได้น้อยกว่า
    • ยุคของมือถือ ทราฟฟิกวิดีโอประมาณ 70% มาจากทราฟฟิกข้อมูลมือถือ
    • แม่เหล็กดึงดูดการคลิก แรงจูงใจจากวิดีโอมียอดคลิกมากกว่า 380% เมื่อเทียบกับข้อความธรรมดา
    • การดึงดูดด้วยโฆษณา ผู้ชมมีแนวโน้มมากกว่า 27 เท่าที่จะคลิกโฆษณาวิดีโอออนไลน์เมื่อเทียบกับโฆษณาแบนเนอร์มาตรฐาน
    • พลังแห่งการแชร์ วิดีโอโซเชียลสร้างยอดแชร์มากกว่า 1200% เมื่อเทียบกับเนื้อหาข้อความและรูปภาพ

     

    การเปรียบเทียบซอฟต์แวร์ตัดต่อวิดีโอชั้นนำ

    เมื่อไม่นานมานี้ นักตัดต่อวิดีโอต้องซื้อซอฟต์แวร์ เช่น Adobe After Effects, Sony Vegas หรือ Premier Pro โปรแกรมเหล่านี้มีประสิทธิภาพสูงมากในด้านฟังก์ชันการทำงาน แต่ปัจจุบันแม้แต่นักตัดต่อมืออาชีพก็ยังหันมาใช้ซอฟต์แวร์ฟรี

    เพราะอะไร? ซอฟต์แวร์ฟรีเหล่านี้มีประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน แต่ใช้ง่ายกว่าและราคาศูนย์บาท

    ดังนั้นบทความนี้จะโฟกัสสองโปรแกรมยอดนิยมอย่าง DaVinci Resolve และ CapCut

     

    เปรียบเทียบแบบคร่าวๆ

    เราจะให้คะแนนทั้งสองโปรแกรมตามหมวดหมู่ต่างๆ โดยมีคะแนนตั้งแต่ 1 ถึง 10 ซึ่งชี้ให้เห็นลักษณะที่ดีที่สุด 🔥 และแย่ที่สุด 👎

    ฟังก์ชันการทำงาน CapCut DaVinci
    เวลาในการเรียนรู้ 10 8
    ใช้งานง่าย 10 8
    ราคา ฟรี เวอร์ชันชำระเงิน $8/เดือน ฟรี ค่าไลเซนส์ตลอดชีพครั้งเดียว $295
    ภาพเคลื่อนไหว 🔥 10 7
    ปรับแก้ไขสี 8 🔥 10
    การตัดต่อเสียง 👎 6 10
    คำบรรยาย 🔥 10 👎 3
    ฟีเจอร์ขั้นสูง 6 🔥 10
    ความคล่องตัว 10 7
    ส่งออก 7 10
    ประสิทธิภาพความเร็ว 10 9

     

    การเปรียบเทียบอย่างละเอียด

    สรุปได้ว่าทั้ง DaVinci และ CapCut เป็นโปรแกรมตัดต่อวิดีโอที่ยอดเยี่ยม ชอบแบบไหนเลือกได้เลย ซึ่งตัวเลือกจะขึ้นอยู่กับประเภทของเนื้อหาและเป้าหมาย

     มาดูกันที่รายละเอียด

     

     การเรียนรู้และการใช้งาน

    CapCut ใช้งานง่ายที่สุด มีฟังก์ชันและเมนูที่เรียบง่าย มาพร้อมกับเทมเพลตที่พร้อมใช้งานมากมาย

    Davinci มีความซับซ้อนมากกว่า มีฟีเจอร์จำนวนมาก และต้องใช้เวลาเรียนรู้นานกว่า หาก CapCut ใช้เวลาเรียนรู้หนึ่งชั่วโมง DaVinci จะใช้เวลาหนึ่งวัน แต่สำหรับใครที่ไม่ใช่มือใหม่ก็จะรู้สึกว่าใช้งานค่อนข้างง่าย

     

    ราคา

    ทั้ง DaVinci และ CapCut มีเวอร์ชันฟรีให้ใช้โดยไม่จำกัดเวลา แต่สามารถปลดล็อกฟีเจอร์เพิ่มเติมได้ด้วยเวอร์ชันที่ต้องเสียเงิน เวอร์ชันฟรีครอบคลุมฟังก์ชันที่จำเป็นทั้งหมด ส่วนฟีเจอร์ที่ต้องเสียเงินก็ไม่ใช่ส่วนสำคัญสำหรับกรณีใช้งานส่วนใหญ่

     

    ภาพเคลื่อนไหว

    ภาพเคลื่อนไหวใน CapCut เหมือนกับการเล่นที่ดูสนุก เรียกได้ว่าง่าย ดูดี และมาพร้อมกับไลบรารีการเปลี่ยนฉาก (Transition) และภาพเคลื่อนไหวที่พร้อมใช้งานจำนวนมาก ทำให้เหมาะกับมือใหม่ที่ต้องการตัดต่อวิดีโอโดยไม่ต้องวุ่นวายมากนัก

    DaVinci เหมาะกับผู้ที่ต้องการความซับซ้อนมากขึ้นเล็กน้อย ซึ่งสามารถสร้างและบันทึกเทมเพลตขั้นสูงได้ แต่ไม่มีไลบรารีพร้อมใช้งานเยอะเหมือนกับ CapCut ดังนั้นหากเพิ่งเริ่มต้นและต้องการประหยัดเวลาในการตัดสินใจ CapCut ถือว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม

     

    ปรับแก้ไขสี

    DaVinci ยืนหนึ่งเรื่องการปรับสี เหมือนกับเครื่องมือระดับฮอลลีวูดอยู่ในมือเลยก็ว่าได้ นี่คือซอฟต์แวร์ที่ดีที่สุดสำหรับการปรับแต่งสีเพื่อความสมบูรณ์แบบ

    CapCut ก็ไม่ได้แย่ แอปนำเสนอตัวเลือกการปรับสี 4 แบบ แม้จะไม่ล้ำสมัยเท่า DaVinci แต่ก็สามารถใช้งานได้ดี ต่อให้ไม่ใช่มือใหม่ก็สามารถใช้งานได้

     

    การตัดต่อเสียง

    การตัดต่อเสียงใน CapCut เหมือนกับการพยายามระบายสีด้วยแปรงสีฟัน ซึ่งมีข้อจำกัดและดูขัดใจเล็กน้อย เวอร์ชันฟรีนำเสนอการปรับระดับความดังของเสียงและลดเสียงรบกวนแบบพื้นฐาน

    เวฟฟอร์มค่อนข้างเล็ก 🤏 ทำให้การสร้างคีย์เฟรมมีความซับซ้อน แต่ถ้าเสียงที่ใช้ยอดเยี่ยมอยู่แล้วตั้งแต่แรก ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่ถ้าไม่ก็เตรียมใช้หาเวลาว่างๆ นั่งตัดต่อเสียงเป็นชั่วโมงได้เลย

    DaVinci อย่างกับฝัน นำเสนอแทร็กเสียงแยกต่างหากที่สามารถขยายและจัดการได้ตามต้องการ ทำให้การสร้างคีย์เฟรมง่ายมาก ความสามารถในการมองเห็นก็สุดยอด ช่วยเพิ่มความเร็วในการตัดต่อได้ดีเลย แท็บเสียงของ DaVinci เหมือนสนามเด็กเล่นสำหรับการตัดต่อเสียงขั้นสูง ทำให้ CapCut ชิดซ้ายไปเลย

     

    คำบรรยาย

    CapCut ที่หนึ่งเรื่องคำบรรยาย ไลบรารีของคำบรรยายที่มีสไตล์แบบอัตโนมัติคือที่สุด

     

    ส่วน DaVinci น่ะเหรอ? ก็ไม่ดีเท่า เวอร์ชันฟรีไม่รองรับคำบรรยายอัตโนมัติเลย ซึ่งเป็นข้อเสียอย่างมากเมื่อพิจารณาถึงจำนวนคนที่ดูแบบไม่เปิดเสียง

     

    ฟีเจอร์ขั้นสูง

    ทั้ง CapCut และ DaVinci มีฟีเจอร์ขั้นสูงที่น่าประทับใจทั้งคู่ CapCut มี Interactive Viewer ที่ช่วยให้ลากองค์ประกอบไปรอบๆ หน้าจอเพื่อการจัดวางตำแหน่งที่สมบูรณ์แบบ ซึ่ง DaVinci ไม่มีส่วนนี้

    ฟีเจอร์คัตเอาท์อัตโนมัติของ CapCut เหมือนเวทมนตร์ สามารถลบพื้นหลังโดยไม่ต้องมีกรีนสกรีน และตัวเลือกปรับแสงที่สามารถปรับแสงเพื่อแก้ไขเงาที่ไม่ต้องการได้

    ส่วน DaVinci เต็มไปด้วยฟีเจอร์ขั้นสูงในแท็บจำนวนมาก สามารถตอบโจทย์ทุกขั้นตอนของการตัดต่อได้เป็นอย่างดี ตัวเลือกการปรับแต่งของ DaVinci มีมากมายและประสิทธิภาพสูงมาก ตั้งแต่เอฟเฟกต์การตัดต่อและการปรับสีไปจนถึงการปรับเสียงและการตั้งค่าไฟล์ส่งออก

     

    ความคล่องตัว

    CapCut รองรับการใช้งานตั้งแต่เดสก์ท็อป แท็บเล็ต โทรศัพท์ เว็บเบราว์เซอร์ แอปมือถือเหมาะสำหรับการตัดคลิปด่วนทันใจและรีล

     DaVinci เป็นโปรแกรมเดสก์ท็อปและไม่มีแอปมือถือ แต่จะมีแอปเวอร์ชัน iPad

     

    ส่งออก

    ตัวเลือกการส่งออกไฟล์ของ CapCut ดูธรรมดา เหมาะสำหรับวิดีโอโซเชียลมีเดีย แต่ไม่ค่อยเหมาะกับวิดีโอที่นานมากกว่า 15 นาที

    DaVinci ทำเรื่องนี้ได้ดี ซึ่งนำเสนอการปรับแต่งและพรีเซ็ตที่ยอดเยี่ยมสำหรับแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น YouTube, TikTok และอื่นๆ ไม่มีข้อจำกัดด้านเวลา แต่ข้อจำกัดของคุณภาพสำหรับเวอร์ชันฟรีจะอยู่ที่ 4K

     

    ประสิทธิภาพความเร็ว

    CapCut เป็นเจ้าความเร็ว สามารถจัดการแทร็กและกราฟิกจำนวนมากได้อย่างลงตัวและการส่งออกก็ง่ายแสนง่าย

     DaVinci แม้จะมีประสิทธิภาพสูง แต่บางครั้งเมื่อมีหลายแทร็กในเวอร์ชันฟรีจะเริ่มมีความล่าช้า ทำให้ช้ากว่า CapCut เล็กน้อย

     

    สรุป

    CapCut เหมาะสำหรับมือใหม่และการตัดคลิปโซเชียลมีเดียง่ายๆ มาพร้อมกราฟิกที่ยอดเยี่ยมและคำบรรยายอัตโนมัติ

    DaVinci เหมาะกับนักตัดต่อที่มีประสบการณ์ที่กำลังมองหาโซลูชันล้ำสมัยสำหรับโปรเจกต์ที่ใหญ่กว่าพร้อมการปรับสีระดับฮอลลีวูดและตัวเลือกการปรับแต่งจำนวนมาก

    ต้องการนำความรู้ไปใช้งานหรือไม่ ไปที่ Affstore รับลิงก์ข้อเสนอของคุณและใช้เนื้อหาวิดีโอเป็นช่องทางในการโปรโมต! ⬇️

    AFFSTORE

    Updated: กันยายน 12, 2024

    626

    Affstore Academy